|
|
|
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Beauveria bassiana
ชื่อสามัญ : White muscardine
วงศ์ (Family) : Moniliaceae
อันดับ (Order) : Moniliales
|
|
|
|
เชื้อราบิวเวอเรีย เป็นเชื้อราที่มีสีขาว เจริญเติบโตได้ดีในช่วงอุณหภูมิ 20-27 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ เป็นจุลินทรีย์ที่มีคุณสมบัติเป็นเชื้อราปฏิปักษ์ สามารถทำลายแมลงหรือทำให้เกิดโรคกับแมลงหลายชนิด ลักษณะของเส้นใย และสปอร์มีสีขาวหรือสีครีมซีด จัดเป็นเชื้อประเภท Saprophyte อาศัยและกินเศษซากที่ผุพัง
|
|
คุณสมบัติและการทำลาย |
|
เชื้อราบิวเวอเรีย ที่อยู่ในระยะสปอร์ เมื่อตกหรือติดกับผนังลำตัวแมลง หากสภาพแวดล้อมและความชื้นเหมาะสม สปอร์ก็จะงอก (germ tube) แทงทะลุผ่านผนัง หรือช่องว่างบนลำตัว โดยเฉพาะบริเวณข้อต่อของแมลงที่มีผนังบาง เส้นใยของเชื้อราจะเข้าสู่เนื้อเยื่อ ของแมลง โดยอาศัยน้ำย่อยต่าง ๆ ได้แก่ ไลเปส (Lipase) โปรตีเนส (Proteinase) และไคติเนส (Chitinase) เมื่อเชื้อราเข้าสู่ช่องว่าง ของลำตัวแมลงจะเจริญเพิ่มปริมาณ และสร้างเส้นใยจนเต็มช่องว่างในลำตัวของแมลง พร้อมกับผลิตเอ็นไซม์ที่เป็นพิษ แมลงจะเริ่มเป็น อัมพาตทั่วตัวและตาย หลังจากแมลงตายเส้นใยของเชื้อราจะพัฒนาต่อไปเพิ่มปริมาณอัดแน่นภายในซากของแมลง และแทงก้านชูสปอร์ (Conidiophores) ทะลุผ่านผนังลำตัวออกมาภายนอกซากแมลงที่ตายจะแห้งแข็ง มีสปอร์สีขาวขึ้นปกคลุม
|
|
|
|
การแพร่กระจายของเชื้อ |
|
แมลงที่ตายด้วยเชื้อราบิวเวอเรียที่มีสปอร์ขึ้นปกคลุม จะถูกลมหรือฝนพัดพาแพร่กระจายไปในสภาพธรรมชาติ หรือติดไปกับแมลงศัตรูพืช เมื่อสภาพแวดล้อมเหมาะสมก็จะเจริญ และทำลายแมลงศัตรูพืชต่อไป |
|
อาการของแมลงที่ถูกเชื้อราบิวเวอเรียเข้าทำลาย |
|
1. แมลงจะแสดงอาการเป็นโรคคือเบื่ออาหาร กินอาหารน้อยลง อ่อนแอ และไม่เคลื่อนไหว
2. สีผนังลำตัวแมลงจะเปลี่ยนไป จะปรากฏจุดสีดำบนบริเวณที่ถูกเชื้อราเข้าทำลาย
3. พบเส้นใยและผงสีขาวของสปอร์ปกคลุมตัวแมลงที่ถูกเชื้อราเข้าทำลาย |
|
|
|
ประโยชน์
|
|
เชื้อราบิวเวอเรียสามารถที่จะควบคุมแมลงศัตรูพืชได้หลายชนิดที่สำคัญ ๆ เช่น เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล หนอนผีเสื้อศัตรูพืชต่าง ๆ หนอนห่อใบข้าว เพลี้ยอ่อน เพลี้ยแป้ง เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยไฟ ไรแดง แมลงหวี่ขาว ด้วงงวงต่าง ๆ เป็นต้น |
|
|
|
วิธีการใช้ |
|
1. ใช้เชื้อราบิวเวอเรีย ที่ผลิตบนเมล็ดธัญพืช 1 – 2 กิโลกรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร โดยวิธีการผสมที่ง่ายคือใช้เชื้อราฯ ผสมกับน้ำ 5 ลิตรก่อนโดยคนหรือขยำให้สปอร์เชื้อราหลุดจากเมล็ดธัญพืช กรองด้วยผ้าขาวบาง แล้วจึงนำไปผสมกับน้ำอีก 15 ลิตร เติมสารจับใบ เล็กน้อย คนให้เข้ากัน
2. นำส่วนผสมของเชื้อราบิวเวอเรียไปฉีดพ่นเพื่อควบคุมโดย ปฏิบัติดังนี้
2.1 พ่นให้ถูกตัวแมลงศัตรูพืช หรือบริเวณที่แมลงศัตรูพืชเกาะหรืออาศัย เพื่อให้แมลงสัมผัสกับเชื้อราฯ มากที่สุด
2.2 ควรพ่นในช่วงเวลาเย็น เพื่อให้สภาพแวดล้อมเหมาะต่อการงอกและเจริญเติบโตของเชื้อราฯ เนื่องจากมีแสงแดดอ่อนและมีความชื้นในช่วงกลางคืน
2.3 ควรเป็นช่วงเวลาที่แมลงศัตรูพืชออกหากิน เพื่อที่จะได้รับเชื้อราฯ จากการฉีดพ่นมากที่สุด
3. เพื่อให้ได้ผลดี ควรให้น้ำกับแปลงพืชก่อนการฉีดพ่นเชื้อราฯประมาณ 1 ชั่วโมง และให้น้ำในวันรุ่งขึ้นหลังการฉีดพ่นด้วย เพื่อเป็นการเพิ่มความชื้นในแปลงให้เหมาะแก่การเจริญเติบโตของเชื้อราบิวเวอเรีย ทำให้การควบคุมทำลายแมลงมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
4. ควรมีการสำรวจและพ่นเชื้อราฯซ้ำอีกครั้งในช่วง 5 – 7 วันหลังการฉีดพ่นครั้งแรก |
|
|
|
ประสิทธิภาพในการทำลาย |
|
ความรุนแรงในการทำลายแมลงศัตรูพืชของเชื้อราบิวเวอเรีย จะมากน้อยหรือมีประสิทธิภาพนั้น ขึ้นกับปัจจัยที่สำคัญคือ
1. ปริมาณของสปอร์ที่ไปสัมผัสหรือเกาะติดกับตัวแมลงถ้าแมลงได้รับสปอร์ปริมาณมาก การทำลายก็จะมีความรุนแรงและรวดเร็ว
2. สภาพแวดล้อมในขณะที่ใช้ เชื้อราบิวเวอเรียจะงอกและเจริญได้ดีมากในอุณหภูมิ 20 – 27 องศาเซลเซียส และต้องมีความชื้นสัมพัทธ์ 80 เปอร์เซ็นต์ และไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์
3. การที่เชื้อราบิวเวอเรีย จะเจริญออกมาภายนอกลำตัวแมลงได้มากนั้น ต้องมีความชื้นสัมพัทธ์ 92 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นไป
4. ถ้าอุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส หรือมากกว่า และความชื้นสัมพัทธ์น้อยกว่า 15 เปอร์เซ็นต์ สปอร์ของเชื้อราฯจะงอกน้อย ไม่เจริญเท่าที่ควร หรืออาจไม่งอกเลย |
|
ข้อควรระวัง |
|
เชื้อราบิวเวอเรียชนิดนี้ทำให้เกิดโรคกับแมลงได้อย่างกว้างขวาง รวมทั้งแมลงศัตรูธรรมชาติบางชนิด เช่น แมลงหางหนีบ มวนตัวห้ำ เป็นต้น จึงควรทิ้งระยะเวลาในกรณีที่จะมีการปลดปล่อยแมลงศัตรูธรรมชาติในแปลงพืช ที่มีการใช้เชื้อราบิวเวอเรีย ห่างกันอย่างน้อย 7 – 10 วัน |
|
การเก็บรักษา |
|
1. เชื้อราบิวเวอเรียที่ผลิตในลักษณะเชื้อสดบนเมล็ดธัญพืช จะสามารถเก็บรักษาในอุณหภูมิปกติในที่ร่มจะเก็บได้นาน 20–30 วัน หลังจากนั้นเชื้อจะแก่ และไม่มีประสิทธิภาพ แต่ถ้าเก็บรักษาในอุณหภูมิ 7 – 10 องศาเซลเซียส จะเก็บได้นานประมาณ 60 วัน
2. เชื้อราบิวเวอเรียที่เก็บไว้นาน ๆ จะมีเส้นใยที่อัดแน่น เมื่อเอาไปผสมกับน้ำสปอร์จะหลุดออกยาก ทำให้ได้เชื้อน้อย
3. ไม่ควรเก็บเชื้อราบิวเวอเรียไว้ในที่ชื้นแฉะหรือน้ำขัง |